Water Fasting หรือการอดอาหารโดยดื่มเพียงน้ำเปล่า เป็นแนวทางการอดอาหารรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ใส่ใจสุขภาพ ต้องการล้างสารพิษในร่างกาย ลดน้ำหนัก หรือแม้แต่เพื่อจุดประสงค์ทางจิตวิญญาณ แต่การอดอาหารด้วยน้ำเปล่าไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับทุกคน และต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนจะเริ่ม
Water Fasting คืออะไร?
Water Fasting คือ การงดรับประทานอาหารทุกชนิด และดื่มเพียง "น้ำเปล่า" เท่านั้น เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปมักอยู่ระหว่าง 24–72 ชั่วโมง หรือในบางกรณีอาจนานถึง 5–7 วัน สำหรับบางคนที่มีประสบการณ์หรืออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ประโยชน์ของ Water Fasting
กระบวนการที่เซลล์ของร่างกายกำจัดของเสียหรือเซลล์ที่เสื่อมสภาพ เป็นการรีไซเคิลส่วนที่ไม่จำเป็น ซึ่งมีประโยชน์ต่อการป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง และอัลไซเมอร์
การอดอาหารช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนแหล่งพลังงานจากกลูโคสมาใช้ไขมันสะสม ทำให้น้ำหนักลดลง และอาจช่วยควบคุมระดับอินซูลิน
งานวิจัยบางส่วนพบว่า Water Fasting อาจช่วยลดกระบวนการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายโรค เช่น โรคหัวใจและโรคเรื้อรังอื่นๆ
หลายคนที่ทำ Water Fasting รายงานว่ามีความรู้สึกปลอดโปร่ง คิดอะไรได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากสมองที่ไม่ต้องใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหาร
ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
เมื่ออดอาหารนานเกินไป ร่างกายจะไม่ได้รับสารอาหารจำเป็น เช่น วิตามิน เกลือแร่ และโปรตีน อาจทำให้เกิดอาการอ่อนแรงหรือปัญหาสุขภาพระยะยาว
โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือใช้ยาควบคุมระดับน้ำตาล อาจมีอาการเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย หรือหมดสติได้
การอดอาหารแบบรุนแรงและนานเกินไป อาจทำให้ระบบเผาผลาญช้าลง และเกิดภาวะ "โยโย่เอฟเฟกต์" เมื่อลดน้ำหนักแล้วกลับมาเพิ่มขึ้นในภายหลัง
ผู้ที่มีปัญหาการกิน เช่น ภาวะกินผิดปกติ (Eating Disorders) ไม่ควรทำ Water Fasting เพราะอาจกระตุ้นภาวะเหล่านั้นให้รุนแรงขึ้น
ใครไม่ควรทำ Water Fasting?
คำแนะนำก่อนเริ่ม Water Fasting
สรุป
การอดอาหารด้วยน้ำเปล่า (Water Fasting) อาจให้ประโยชน์ด้านสุขภาพในหลายด้าน เช่น การลดน้ำหนัก กระตุ้นการทำงานของเซลล์ และช่วยลดการอักเสบในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การทำ Water Fasting ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำโดยขาดการวางแผน หรือโดยปราศจากการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ การเข้าใจร่างกายตนเองและระมัดระวังอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ที่มา : คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่